ภูตทนาย
เสียงแหบพร่าดังมาจากด้านข้าง สิ่งที่เขาเห็น ชายสูงอายุในชุดสูท รูปร่างสูงใหญ่ เสื้อเชิ็ตมีคราบสีแดงเปื้อนอยู่ไม่สม่ำเสมอ ใบหน้าขาวซีด ธัญ สะดุ้งสุดตัว ตัวแข็ง ขนลุกลามไปถึงหนังหัว
ผู้เข้าชมรวม
177
ผู้เข้าชมเดือนนี้
15
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
จากสำนักงานสู่ต้นไทร
เวศ เภรี หนุ่มใหญ่วัย 60 ปลายๆ รูปร่างสูง จมูกโด่งเป็นสัน รูปหน้าสี่เหลี่ยมกรามใหญ่ ตาลึกเหมือนคนสมัยโบราณ สีผมดำแซมขาวประปราย เวศ เภรี ชอบคุยเล่นคุยหัวสนุกสนาน เป็นคนใจดีและเป็นกันเองในหมู่เพื่อนฝูงใครถ้าได้ลองเจราจาพาทีกับเขาแล้วโดยเฉพาะในวงสุรา เป็นได้เฮฮาครื้นเครงกันร่ำไป
เวศ เภรี ประกอบอาชีพทนายความ มามากกว่า 30 ปี เขาจบนิติศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากได้รับใบอนญาตให้เป็นทนายความแล้ว ทนายเวศ รับว่าความในเขตจังหวัดกำแพงเพชร และพื้นที่ปริมลฑลใกล้เคียงมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดตาก สุโขทัย พิษณุโลก หรือนครสวรรค์
ทนายเวศ เช่าห้องซึ่งอยู่ตรงข้ามสถานีตำรวจภูธรเมืองกำแพงเพชร แต่เป็นเป็นของลูกความเก่าในตลาดแบ่งเป็นสองส่วนส่วนด้านหน้าใช้เป็นสำนักงานส่วนหลังกั้นไว้เป็นห้องพักส่วนตัวสร้างด้วยไม้สักตามแบบบ้านไม้สมัยโบราณพื้นเดิมเป็นพื้นซีเมนต์ เขาต้องจ้างช่างมาปูกระเบื้องใหม่ พร้อมกับตีฝ้าลอยเนื่องจากสภาพเดิมเป็นห้องโล่ง ถ้าเงยหน้าขึ้นก็เห็นหลังคาซึ่งทำด้วยสังกะสีเวลาหน้าร้อนแทบจะอยู่กันไม่ได้ เขาให้เพื่อนที่เป็นครูสอนศิลปะ ทำป้ายสำนักงานให้แล้วนำมาติดไว้ด้านบนตรงช่องว่าระหว่างหลังคากับประตูทางเข้าสำนักงานซึ่งเป็นบานพับปิดเปิด เขาใช้ชื่อว่า
สำนักงาน เวศ เภรี ทนายความ
ถึงแม้ทนายเวศจะเป็นคนที่มีอัฌยาศัยดี แต่ก็ไม่เกี่ยวกับเล่ห์เหลี่ยมในการว่าความที่ต้องยอมรับกันได้เลยว่า ทนายเวศ เป็นทนายความมือหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชร และโดยเฉพาะหากรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าคดีที่รับมานั้นมีการใช้อิทธิพลหรือมีความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการยุติธรรม ก็จะกลายเป็นเสือเวศ พร้อมกระโดดเข้าขย่ำทันที
วันนี้ทนายเวศ ไม่มีนัดว่าความที่ศาล เขาออกจากสำนักงานเวศ เภรี ทนายความ เนื่องจากต้องไปพบลูกความที่อำเภอคลองขลุง เขาขับรถออกสู่ถนนสายเอเชียเรื่อยมาจนเข้า
เขตอำเภอคลองขลุง จนถึงจุดที่จะต้องกลับรถเพื่อย้อนกลับมายังเส้นทางเดิมประมาณ 500 เมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนสายทางเข้าหมู่บ้านดอนชะโงกของลูกความซึ่งเป็นถนนสองเลน สองข้างทางเป็นทุ่งนา ต้นข้าวสูงเท่าหัวเข่าแทบจะทุกแปลง เขาขับต่อมาได้ประมาณ 3-4 กิโลมีรถสวนมาเพียงคันเดียว “นี่ละนะที่เขาเรียกว่าถนนสายเปลี่ยว” เขาพูดกับตัวเอง
“ ทุ่งนาแดนนี้ไม่มีความหมาย เหลือเพียงกลิ่นโคลนสาปควาย เห็นคราดคันไถแล้วเศร้า ..” เสียงเพลงรอยไถแปร ของนักร้องในอดีตก้าน แก้วสุพรรณ ศิลปินลูกทุ่งรุ่นเก่า ที่ทนายเวศ ให้ลูกสาวก็อปนำมาลงไว้ไดรฟ์เพื่อเปิดฟังในรถ ดังก้องพร้อมกับเสียงคนขับร้องคลอไปกับเพลง “ เห็นนาที่ร้างนั้นมีแต่ฟางแทนรวงข้าว ..” ขณะที่เขาปล่อยอารมณ์ไปกับบทเพลง
ทันใดนั้นเอง.. ทนายเวศต้องถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแตรรถบีบไล่มาจากข้างหลังอย่างกระทันหัน ด้วยความตกใจ เขาหักพวงมาลัยเข้าชิดเลนด้านซ้ายพร้อมกับยกคันเร่งชะลอความเร็วลงโดยไม่ทันได้มองกระจกหลัง ทันใดนั้นรถยนต์กระบะสีดำทมึน ก็ค่อย ๆ เร่งเครื่องยนต์แซงออกด้านขวา ..
ขณะที่จะพ้นตัวรถของทนายเวศ คนขับรถกระบะก็ได้ผ่อนคันเร่ง เขาหันไปมอง ปรากฎชายหนุ่มสวมหมวกไอ้โม่งสีดำ เสื้อชุดลายพรางแขนสั้นของทหารท่อนแขนข้างขวามีรอยสักรูปขวานสีดำยาวประมาณครึ่งฟุต นั่งอยู่ในกระบะตอนท้ายของรถยนต์ถืออาวุธปืนกลลักษณะคล้ายเอ็ม 16 จ้องเล็งมาทางเขา
ทนายเวศสะดุ้งสุดตัว เขาทำได้แค่นั้น ชายชุดดำเหนี่ยวไกปืนสาดกระสุนเจาะทะลุกระจกเข้าหาร่างทนายเวศเสียงดังสนั่นทุ่ง คนขับรถกระบะเหยียบคันเร่งขับบึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทนายเวศฟุบคาพวงมาลัย รถยนต์เมื่อไร้คนควบคุมเสียการทรงตัววิ่งลงไหล่ทางข้างซ้ายและหยุดลงเมื่อชนเข้ากับต้นไทรใหญ่ขนาด 7-10 คนโอบ
ทนายเวศ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝัน เขามองเห็นตัวเองกำลังลอยอยู่ในอากาศ เท้าไม่ได้สัมผัสพื้น เขาหันมามองรถยนต์ที่จอดสงบนิ่งอยู่โคนต้นไทร สิ่งที่รับรู้ได้คือ..ภาพของตัวเขาเองที่หน้าฟุบคาพวงมาลัยพร้อมกับเลือดที่ไหลรินจากรอยคมกระสุนตามร่างกาย.. “กูยังไม่ตาย กูยังไม่ตาย” ทนายเวศตะโกนสุดเสียงเมือนคนที่ขาดสติ “กูยังไม่ตาย ฮือ..” เขารับรู้แต่เสียงตัวเองเรี่ยวแรงหายไปหมดเขายืนพิงต้นไทร พร้อมกับรำพึงออกมา “ อิงอร ลูกพ่อ ..” ..เราตายแล้วรึนี่ ..”
ทำไมถึงยังเหมือนว่าตนเองไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดยังมีสัมผัสที่ยังรับรู้ถึงความมีตัวตน แต่ไม่สามารถจับต้องได้ เขามีห่วงที่ผูกพันหนักหนาก็คือ อิงอร บุตรสาว และโสพิศ ภริยา นั้นคือความรัก และความแค้นที่ทำให้เขาต้องจบความเป็นมนุษย์เช่นนี้ ..ใครต้องการให้เขาตาย
ไม่นานเสียงไซเรนจากรถมูลนิธิก็มาพร้อมกับอุปกรณ์พิจารณาสภาพแล้วลงความเห็นว่า เสียชีวิต เจ้าพนักงานตำรวจก็ตามมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง
ทนายเวศ ยืนมองเจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บข้อมูลภาพถ่ายภาพของเขา วัตถุพยานในที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะปลอกกระสุน จำนวนหลายสิบปลอก..แล้วเจ้าหน้าที่มูลนิธิจึงนำร่างของเขาออกจากรถแล้วนำผ้าดิบสีขาวมาทำการห่อร่างของเขา เพื่อนำไปชันสูตร และติดตามหาตัวผู้กระทำความผิดต่อไป..
“กูต้องรู้ให้ได้ว่าใครทำ” ทนายเวศบัดนี้เป็นวิญญาณที่สิงสถิตย์อยู่ที่ต้นไทรแห่งนี้ไปเสียแล้ว
คดีเป็นข่าวคราวโด่งดังอยู่หน้าหนังสือพิมพ์เพียงแค่อาทิตย์กว่า ๆ แล้วก็เงียบหายไป ..แต่ทนายเวศยังอยู่ที่เดิม ณ จุดที่ถูกยิงเพื่อรอบางสิ่งบางอย่าง…
สองปีผ่านไป…
ผลงานอื่นๆ ของ ธัญปรากร ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ธัญปรากร
ความคิดเห็น